พาเที่ยวโอซาก้า ชมดอกวิสทีเรีย ที่สวนคาวาชิ ฟูจิ

พาเที่ยวโอซาก้า ชมดอกวิสทีเรีย ที่สวนคาวาชิ ฟูจิ

ฮัลโหล ฮัลโหล สวัสดีค่า วันนี้จะเม้ามอยบอกเล่าถึงทริปญี่ปุ่นให้ทุกคนหายคิดถึงกันนะคะ เอาจริง ๆ คนไทยค่อนข้างคุ้นเคย หรือจะเรียกว่าเติบโตมาพร้อมกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่แฝงอยู่แทบทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่การ์ตูน ซีรีส์ ของใช้กระจุกกระจิก อาหาร และอีกสารพัด จึงไม่แปลกที่เราจะรู้สึกอินไปกับเสน่ห์ความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างง่ายดาย

เอาล่ะค่ะมาเข้าเรื่องถึงทริป ว่าเราไปที่ไหน อย่างไร และมีอะไรเริ่ด ๆ ปัง ๆ บ้าง เราเริ่มต้นการเดินทางไปยัง เกาะคิวชู ซึ่งเราขอเรียกเกาะนี้ว่าเป็นเกาะสารพัดสิ่ง เพราะเป็นเกาะที่มีแหล่งท่องเที่ยวครบทุกแนว ไม่ว่าจะเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ, สวนสนุก, ศาลเจ้า, เมืองตากอากาศแช่ออนเซ็นขึ้นชื่อ และยังสามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ในฤดูใบไม้ร่วง และเล่นกับหิมะได้ในฤดูหนาว แต่หิมะอาจจะไม่ได้เยอะมากเพราะเกาะคิวชูเป็นเกาะที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศ แต่ที่เริ่ดที่สุดคงเป็นเรื่องของค่าครองชีพของที่นี่ เพราะถ้าเทียบกับแถบโตเกียวหรือโอซาก้าที่นี่ถือว่าถูกกว่ามากเลยทีเดียวเชียว

บนเกาะคิวชูมีสถานที่ที่ต้องห้ามพลาดอยู่มากพอควรค่ะ แต่สถานที่ที่ถ้าไม่ไปก็เหมือนมาไม่ถึงเกาะคิวชู นั่นคือ ท่าเรือโมจิโกะ เรโทร

เป็นท่าเรือที่มีความคลาสสิกสมชื่อเขาเลยแหละ แบบเมืองอะไรจะเก๋ไก๋คลาสสิคได้ขนาดนี้ ตึกรามบ้านช่องต่าง ๆ ให้ความรู้สึกย้อนยุควินเทจสุด ๆ และขอบอกเลยว่าเมืองนี้เหล่าฮิปสเตอร์ไม่ควรพลาดอย่างมาก เพราะมีจุดถ่ายรูปเริ่ด ๆ มากมายทุกหนแห่ง พอถ่ายรูปกันอย่างหนำใจ เราก็ไปนั่งชิลล์ริมท่าเรือ มองผู้คนตกปลาใช้ชีวิตแบบสโลไลฟ์ และของกินที่ต้องห้ามพลาดเลยคือ “ยากิคาเร” ซึ่งก็คือ ข้าวหน้าแกงกะหรี่กระทะร้อนโรยชีสนั่นเอง เป็นการฟิวชั่นระหว่างอาหารญี่ปุ่นกับอาหารตะวันตกที่การันตีว่าถูกปากคนไทยแน่นอน และหารับประทานได้ทั่วทั้งเกาะเลยค่ะ พูดถึงแล้ว ยังน้ำลายสอ อยากกลับไปกินอีกสักหลายๆ จาน

ต่อมาเรานั่งรถไฟJR ลงที่สถานี Nishi-kokura แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10นาที เพื่อไปยัง ปราสาทโคคุระ ปราสาทโบราณเก่าแก่ ที่ถือว่าเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมการสร้างปราสาททั่วญี่ปุ่น

ซึ่งพอเราเข้าไปภายในตัวปราสาท เราก็ได้พบกับพิพิธภัณฑ์ ที่จัดแสดงวัตถุโบราณต่าง ๆ เช่น ชุดกิโมโน ชุดซามูไร แต่ทีเด็ดอยู่ที่ชั้นบนสุดของปราสาท ซึ่งสามารถขึ้นไปชมวิวสวย ๆ และแชะภาพเก๋ ๆ กลับมาเป็นที่ระลึกได้ โดยวิวด้านบนนั้นพูดเลยว่า คุ้มค่าเข้าภายในตัวปราสาท 700 เยน มาก ๆ เพราะรอบๆ ปราสาทนั้นรายล้อมไปด้วยแม่น้ำและสวนสวยสไตล์ญี่ปุ่น และสถานที่สุดท้ายที่เราเก็บไว้เป็นฟินนาเล่ของเกาะคิวชูคือ สวนคาวาชิฟูจิ ซึ่งเราอยากมาที่นี่มาก ๆ เพราะฝังใจกับภาพความงามของอุโมงค์ดอกวิสทีเรียที่เคยเห็นในละครเรื่อง กลกิโมโน ที่ชมพู่อารยากับพี่เบิร์ด ธงไชย เป็นพระเอกนางเอกน่ะค่ะ เขาใช้ที่นี่เป็นฉากถ่ายทำ

โดยการเดินทางมาชมอุโมงค์ดอกวิสทีเรียแห่งนี้ก็ไม่ยากเลยค่ะ นั่งรถไฟJR สาย Kagoshima มาลงที่สถานี Yahata และต่อรถบัสที่มีให้บริการเป็นรอบ ๆ ของสวนคาวาชิฟูจิได้เลยค่ะ ทิวทัศน์ระหว่างทางที่เรานั่งรถบัสเข้าไปยังสวนคาวาชิฟูจิ ผ่านทะเลสาบและป่าเขาสลับกันไปเรื่อย ๆ และพอใกล้ถึงสวนคาวาชิฟูจิ จะมีออนเซ็นที่ชื่อ Ajisai no yu Onsen ที่คนในพื้นที่บอกกับเราว่าเป็นออนเซ็นที่ควรมาแช่อย่างยิ่ง เรายังคิดในใจเลยว่าถ้ามีโอกาสครั้งหน้าจะมาแช่ออนเซ็นที่นี่ให้ได้

พอถึงสวนคาวาชิฟูจิ สิ่งแรกที่เราสัมผัสได้ก่อนเห็นดอกวิสทีเรียแบบใกล้ ๆ คือกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ และพอเราเดินเข้ามาในอุโมงค์ดอกวิสทีเรีย เราเห็นภาพสีสันของดอกไม้ที่สวยงาม ซึ่งของจริงสวยกว่าที่เราเห็นในทีวี มากกก แบบกอไก่ล้านตัวเลยล่ะ เราค่อย ๆ เดินไปในอุโมงชื่นชมความงามของดอกวิสทีเรีย สีชมพูบ้าง สีม่วงบ้าง สีขาวบ้าง สลับ ๆ กันไปเรื่อย ๆ คือบอกเลยประทับใจมากเหมือนฝันที่เป็นจริง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงเรียกที่นี่ว่าเป็นอุโมงค์แห่งสวรรค์

หลักจากที่เราเที่ยวจนทั่วทั้งเกาะคิวชูแล้ว เรามาต่อกันที่ เมืองอิวาคุนิ ซึ่งการเดินทางเหมือนเดิม เราใช้รถไฟ JR เป็นหลัก ให้นั่งสาย Sanyo line แล้วไปลงที่สถานี Iwakuni พอถึงสถานี สามารถต่อรถบัสที่พาไปถึงสะพานคินไตเคียวได้เลย ซึ่งสะพานคินไตเคียวเนี่ยเป็นสะพานไม้ 5 โค้ง ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นมาก และใครไปถึงอย่าลืมซื้อของฝากที่เป็นขนมรูปสะพานนะคะน่ารัก มาก ๆ เลย โดยพอเราเดินรับลมบนสะพานกันอย่างสำราญใจแล้ว เราก็ไปต่อกันที่ เกาะมิยาจาม่า ซึ่งบนเกาะนั้นมีศาลเจ้าที่เก่าแก่และเป็นหนึ่งในมรดกโลก อย่าง ศาลเจ้าอิตสึคุชิมะ โดยการเดินทางไปยังเกาะมิยาจาม่านั้น เรานั่งรถไฟ JR สาย Sanyo line แล้วมาลงที่ Miyajimaguchi ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ค่ะ

พอเราออกจาก สถานี Miyajimaguchi ก็เดินตรงมาที่ท่าเรือเฟอร์รี่ ได้เลยค่ะ สำหรับคนที่มี JR pass อยู่แล้วสามารถขึ้นเรือข้ามฟากของ JR ซึ่งบรรยากาศบนเรือก็ดีมาก ลมเย็นเบา ๆ มองดูน้ำทะเลสีฟ้าครามระหว่างข้ามฟาก ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ เลยค่ะพอเราใกล้ถึงฝั่งสิ่งที่เราจะเห็นเด่นอยู่กลางน้ำเลยคือ โทริอิ หรือซุ้มประตูแบบญี่ปุ่นขนาดยักษ์กลางน้ำ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นที่ใครไปใครมาต้องถ่ายรูปกับเจ้าซุ้มประตูนี้กันทุกคน ยิ่งในเวลาน้ำขึ้น จะเสมือนซุ้มประตูนี้รวมถึงตัวศาลเจ้า ลอยอยู่กลางน้ำ สวยงามแปลกตามากเลยค่ะ ถ้าปารีสมีหอไอเฟล ซุ้มประตูยักษ์โทริอิกลางน้ำก็เปรียบเสมือนหอไอเฟลแห่งเกาะมิยาจิม่าเลยทีเดียวทันทีที่เราก้าวเข้าสู่พื้นที่ของเกาะมิยาจิม่า เราจะได้พบกับเจ้าถิ่นซึ่งก็เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากน้องกวางน้อยที่เดินอยู่เต็มเกาะ แต่ระวังให้ดี! เจ้ากวางพวกนี้ชอบกินกระดาษเป็นอย่างมากไม่รู้ทำไม ระวังมันจะกินตั๋วรถไฟของคุณด้วยนะคะ

ระหว่างทางเดินไปยังศาลเจ้า อิตสึคุชิมะ มีร้านค้ามากมายตลอดสองข้างทางให้เราได้เลือกช้อป โดยเฉพาะสินค้าแฮนด์เมดและร้านหอยนางรมย่าง กับข้าวหน้าปลาไหล ที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนใจเหลือเกิน หอยนางรมตัวใหญ่ขนาดเท่าฝ่ามือ รสชาติหวานฉ่ำ ไม่ต้องบอกต่อนะคะ ว่าเราจะแวะก่อนไปยังศาลเจ้ารึเปล่า อิอิ

จัดหอยนางรมไปจนหายอยากแล้ว ก็เดินต่อไปจนถึงตัวศาลเจ้าเข้าไปชมความงดงามของศาลเจ้ากลางน้ำ ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่เทพธิดาพระอาทิตย์และยังเป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโตที่ศักดิ์สิทธิ์มากๆ เราขอพรกันเรียบร้อย พร้อมเดินเล่นรับลม ถ่ายรูปเวิ้งอ่าว ก็ได้เวลานั่งเรือกลับเข้าฝั่งแล้ว

จุดหมายต่อไปของเราก็คือ สวนสันติภาพฮิโรชิม่า โดยเราสามารถเดินทางไปยังเมืองฮิโรชิม่าด้วยรถไฟ JR ลงที่สถานนี Hiroshima ได้เลยค่ะ แต่การเดินทางภายในเมืองฮิโรชิม่านั้น จะนิยมรถรางหรือรถบัสค่ะ จอดเกือบทุกสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญภายในเมืองเลย โดยการเดินทางไปยัง สวนสันติภาพฮิโรชิม่า สามารถนั่งรถราง Hiroshima Tram ไปได้เลยค่ะ ลงที่สถานี Genbaku-Domu Mae แล้วเดินต่ออีก 15 นาที ก็จะถึงสวนสันติภาพฮิโรชิม่าเลยค่ะ

เดินเข้ามานิดเดียวจะพบกับ Atomic Bomb Dome ซึ่งในอดีตเป็นอาคารที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์ประชุมจัดแสดงสินค้าของเมืองฮิโรชิม่า โดยตัวอาคารมีลักษณะโดดเด่นด้วยหลังคาที่เป็นทรงโดม ซึ่งภายหลังเหตุการณ์ทิ้งระเบิดเมื่อวันที่ 6 ส.ค. ปีค.ศ. 1945 อาคารแห่งนี้เป็นเพียงไม่กี่อาคารที่ยังคงสภาพอยู่ได้ ทางการญี่ปุ่นจึงได้อนุรักษ์ไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์เตือนใจถึงภัยจากสงครามแก่คนรุ่นหลัง และอาคารแห่งนี้ยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์กรยูเนสโกอีกด้วย ภายในมีพิพิธภัณฑ์ที่จำลองเหตุการณ์สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งบอกเลยว่าใครได้เข้าไปคงกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะภาพที่เห็น ทั้งข้าวของเครื่องใช้ และเรื่องราวต่างๆ ที่ปรากฏค่อนข้างที่จะสะเทือนใจเป็นอย่างมาก

พอเราเดินผ่านพ้นตัวอาคารไป เรายังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศหม่นเศร้าที่ห่มคลุมสวนแห่งนี้ เดินเลยไปหน่อยเราได้พบกับ อนุเสาวรีย์ซาดาโกะ (Sasaki Sadako) Children’s Peace Monument ที่เรื่องราวของเธอยังตราตรึงใจเรามาจนวันนี้ ขอเล่าประวัติของเด็กหญิงคนนี้สักนิด ย้อนไปเมื่อวันที่เมืองฮิโรชิม่าถูกทิ้งระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เด็กหญิงซาดาโกะเพิ่งมีอายุเพียง 2 ขวบ เธอรอดชีวิตมาได้ และเติบโตมาอย่างแข็งแรง แต่แล้ววันนึงเมื่อเธอมีอายุได้ 11 ขวบ เธอถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว เพราะผลกระทบจากสารกัมมันตรังสีจากระเบิดปรมาณู เพื่อน ๆ ของเธอได้เล่าตำนานให้ซาดาโกะฟังว่า หากพับนกกระเรียนกระดาษได้ครบหนึ่งพันตัว จะขอพรได้สมปรารถนา เธอหวังว่าสิ่งนี้จะทำให้เธอกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง จึงเพียรพับนกกระดาษ แต่เธอพับได้เพียงแค่ 644 ตัว เธอก็ได้ลาจากโลกนี้ไป เพื่อน ๆ ของเธอจึงช่วยเธอพับนกที่เหลือและฝังไปพร้อมกับร่างของเธอ ซึ่งเรื่องราวของเธอถูกเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่น และคนทั่วโลกยังแวะเวียนมารำลึกถึงเธอเสมอที่สวนสันติภาพแห่งนี้ รวมถึงเหตุการณ์ความเลวร้ายของสงคราม ที่เชื่อว่าทุกคนคงอธิษฐานว่าอย่าให้เกิดขึ้นอีกเลย

แพลนต่อไปของเราคือ เดินทางไปยัง ปราสาทฮิเมจิ ซึ่งการเดินทางจากเมืองฮิโรชิมาไปยังปราสาทฮิเมจิที่โอซาก้านั้นเราสามารถนั่งรถไฟหัวกระสุนไปได้เลยค่ะ ใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงจากฮิโรชิม่า ไปยังโอซาก้า ปราสาทฮิเมจิมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 400 ปี เป็นปราสาทเก่าแก่ที่มีสภาพสมบูรณ์มาก ภาพปราสาทหลังสีขาวงามสง่า ทำให้เราไม่แปลกใจสักนิดที่ปราสาทแห่งนี้ได้รับการเรียกขานว่า ปราสาทนกกระยางขาว และที่ประทับใจอีกอย่างคือทิวทัศน์โดยรอบที่สวยงามมากๆ จุดชมวิวชั้นบนของปราสาท ทำให้เราได้เห็นวิวโอซาก้าได้แบบสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียวค่ะ

และเราขอปิดท้ายทริปของเราที่ย่าน ชินไซบาชิ แหล่งช้อปปิ้งใจกลางเมืองโอซาก้าที่พาเราไปล้มละลายได้เลยล่ะค่ะ (ถ้าคุมสติไม่ดีพอ ฮา ฮา ฮา) คือย่านนี้เรียกได้ว่ามีทุกสิ่งอย่างที่เราอยากได้ การ์ตูนญี่ปุ่นเอย เครื่องสำอางเอย ขนมอร่อย ๆ หรือแบรนด์เนมตั้งแต่ระดับ hiend ยัน histreet ที่นี่มีหมดเลยค่ะ แต่ที่ห้ามพลาดเลยคือการถ่ายรูปในย่าน โดทงบุริ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าจุดเช็คอินมหาชน ที่ด้านหลังเป็นรูปป้ายไฟกูลิโกะ และสัญลักษณ์ขาปูยักษ์บนหลังคา (Kani Doraku) ไปถึงแล้วต้องถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกค่ะ แช๊ะ!

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับทริปการผจญภัยในญี่ปุ่นของเราแบบหลากรส หวังว่าจะเป็นประโยชน์ สนุกสนาน และปลุกไฟการไปเที่ยวญี่ปุ่นของทุกคนนะคะ ไว้มีโอกาสจะมาเล่าสู่กันฟังอีกแน่นอนค่ะ

Back to blog